ประกาศข่าว ยังไม่มีข่าวใหม่ครับ

Widgets

เบดูอิน อัตลักษณ์แห่งอาหรับ

        เบดูอินเป็นชนกลุ่มหนึ่งที่สำคัญและน่าสนใจ  และถือได้ว่าชีวิตและการดำเนินอยู่ของเบดูอินนั่นสามารถสื่อและแสดงอัตลักษณ์ที่แท้จริงของชาวเร่ร่อนเหนือทะเลทรายและเป็นโฉมหน้าของผู้คนแห่งอาระเบียที่แท้จริง  ดังนั้นเพื่อความกระจ่างและเป็นพื้นฐานที่จะทำความเข้าใจในมวลหมู่ชาวอาหรับทั้งมวล ซึ่งพัฒนาการมาจนถึงปัจจุบันนี้จำเป็นอย่างมากที่เราจะต้องมาทำความรู้จักกับวิถีและชีวิตที่แท้จริงของชาวเบดูอินให้กระจ่างยิ่งขึ้น


          ชาวเบดูอินจะอาศัยอยู่ในกระโจมที่ทำด้วยขนแกะหรือขนม้า มีทรัพย์สมบัติเท่าที่สามารถบรรทุกไปบนหลังสัตว์เท่านั้น  กระโจมแบ่งออกเป็น  ส่วน  ส่วนแรกเป็นของผู้ชาย  อีกส่วนหนึ่งเป็นของผู้หญิง เด็ก และข้าวของที่จำเป็น  ชาวเบดูอินจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม  ส่วนที่เล็กที่สุดคือครอบครัว (Family) แต่ละครอบครัวจะรวมกันเป็นตระกูล (Clan) ซึ่งมีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดและรวมตระกูลเป็นเผ่า (Tribe)  มีผู้อวุโสที่สุดเป็นหัวหน้าเผ่าเรียกว่า “ชัยคฺ”  (ชีค) (Shaykh) และใช้ชื่อบรรพบรุษไว้หน้าชื่อร่วมกัน



           เต้นท์ที่พักและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่เรียบง่ายของครอบครัวนั้นเป็นทรัพย์สินส่วนตัว  แต่แหล่งน้ำ  ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์  และพื้นที่เพาะปลูกถือเป็นทรัพย์สินส่วนรวมของเผ่านั้นๆ  หากสมาชิกคนใดกระทำผิดต่อคนในตระกูลเดียวกันจะไม่มีใครช่วยปกป้องให้พ้นผิด ในกรณีที่เขาได้หลบหนีก็กลายเป็นคนนอกกฎหมาย  แต่หากว่าการฆ่าตกรรมเป็นการกระทำกับตระกูลอื่น  การพยายามแก้แค้นก็ย่อมจะเกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการยอมรับโดยทั่วไปหลีกเลี่ยงไม่ได้  และสมาชิกในตระกูลเดียวกันอาจจะต้องจ่ายค่าชดเชยแทน  แม้กระทั่งด้วยชีวิต

                ความกล้าหาญเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น  เบดูอินจำเป็นต้องป้องกันตัวเองให้รอดชีวิตจากการโจมตีของศัตรู  ทั้งหมดนี้จะต้องได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากครอบรัว  การมีชีวิตอยู่รอดขึ้นอยู่กับการเกาะกลุ่มกับครอบครัวเป็นหนึ่งเดียว  การจะได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนเบดูอินต้องยอมรับกฎและค่านิยมของครอบครัว  โดยการรวมผลประโยชน์ของครอบครัว  มีความซื่อสัตย์และจงรักภัคดีต่อครอบครัว  ผู้ชายเป็นหัวหน้าของครอบครัว  และกลุ่มคนในครอบครัวที่เกี่ยวดองเป็นญาติจะถูกปกครองโดยชายที่เป็นหัวหน้าของตระกูล

           ผู้ชายจะต่อสู้  ล่าสัตว์  เลี้ยงสัตว์  และมีสังคมกับผู้ชายกับครอบครัวอื่นๆ  ผู้หญิงจะอยู่รวมกันอย่างใกล้ชิด  ขณะที่ผู้ชายออกไปหาเลี้ยงสัตว์  ผู้หญิงจะซ่อมแซมกระโจม  เก็บฟืน  เตรียมอาหาร  และเลี้ยงดูเด็ก  ทอผ้าด้วยขนสัตว์  ทำพรม  เด็กชายจะถูกเลี้ยงและได้รับการเอาใจใส่อย่างดีเพื่อสืบตระกูลของครอบครัว  ถ้าครอบครัวมีลูกผู้หญิงพอแล้วทารกหญิงที่เกิดใหม่จะถูกฝังทั้งเป็น  รอบครัวขยายเป็นหลายครอบครัวและเป็นตระกูลในหลายอายุคน  เมื่อหัวหน้าตระกูลตายลูกชายแต่ละคนที่แต่งงานแล้วจะเป็นตระกูลในหลายอายุคน  เมื่อหัวหน้าตระกูลตายลูกชายแต่ละคนที่แต่งงานแล้วจะเป็นผู้นำของครอบครัวใหม่และเริ่มตระกูลใหม่

           แต่ละตระกูลจะตั้งชื่อจากบรรพบุรุษตระกูลหลายตระกูลรวมกันเป็นเผ่าเมื่อมีการแยกเผ่าจะมีเผ่าที่คงเหลืออยู่เพื่อสืบเชื้อสายบรรพบุรุษโดยใช้ชื่อตระกูลเดิม เผ่าที่แยกออกไปจะตั้งชื่อใหม่ ดังนั้นทุกเผ่าจะประกอบด้วยเชื้อสายตระกูลเป็นเครือญาติกัน หัวหน้าเผ่าหรือชัยคฺ  (Shaykh) จะถูกคัดเลือกโดยตระกูลที่เป็นเชื้อสายเดียวกับเผ่า  จะเป็นผู้ที่มีอายุมากที่สุด  หรือเป็นสมาชิกคนสำคัญที่ถูกเลือกมาจากญาติใกล้ชิดและได้รับการเป็นชอบจากทุกตระกูลในเผ่า และรักษาตำแหน่งด้วยบุคลิกลักษณะที่เข้มแข็ง  ตัดสินปัญหาข้อขัดแย้งด้วยความฉลาด ถ้าเมื่อใดสมาชิกในเผ่าไม่ให้ความยินยอมหัวหน้าเผ่าก็ต้องออกจากตำแหน่ง

          หัวหน้าเผ่าใช้อิทธิพลเหนือคนในเผ่า  ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหรือผู้นำในที่ประชุม (Majlis) จะเปิดโอกาสให้มีการพูดคุยถกเถียงปัญหาที่สำคัญทุกวันและรับเรื่องราวร้องเรียนหรือข้อหารือจากสมาชิกของเผ่าในเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องของสาธารณะ เป็นหน้าที่ของที่ประชุมที่จะแก้ไขปัญหายุติข้อขักแย้งและตัดสินใจเรื่องเกี่ยวกับเผ่า

          ที่ประชุมจะประกอบด้วยผู้ชายจากทุกครอบครัว  แต่ผู้มีอวุโสจะได้รับความนับถือและมีอิทธิพลมากกว่า  หัวหน้าจะได้รับความเห็นชอบโดยเอกฉันท์จากสมาชิกในการตัดสินปัญหา  เมื่อขัดแย้งไม่สมารถหาข้อยุติได้ในตระกูลต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมซึ่งจะประกอบด้วยผู้ที่แทนจากทุกหน่วยครอบครัว
                ความขัดแย้งภายในเผ่าจะมีการประนีประนอมโดยบุคคลที่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับคู่กรณี แต่ความขัดแย้งระหว่างเผ่าอาจไม่สามารถยุติได้ด้วยการเจรจาต่อรอง แต่จะเป็นความอาฆาตระหว่างตระกูล ที่จะต้องต่อสู้แก้แค้นด้วยสายเลือดโดยคณะ 5 บุคคล ซึ่งก็คือญาติที่มีความเกี่ยวดองกัน 5 ระดับ รวมทั้งญาติที่ห่างออกไป เช่น ลูกพี่ลูกน้องชั้นที่ 2 ถ้าเป็นผู้ชายถูกฆ่าตายญาติที่เกี่ยวดองกัน 5 ระดับ จะเป็นผู้กระทำตอบ หรือแก้แค้นสมาชิกในตระกูลของผู้กระทำผิดที่อยู่ในความเกี่ยวดองกันจะต้องร่วมรับผิดชอบในการกระทำผิดของสมาชิก และมีความชอบธรรมที่จะถูกฆ่าในการแก้แค้นนั้นด้วย

         โดยปกติผู้กระทำผิดจะหนีไปหาที่หลบภัยอยู่กับเผ่าที่ห่างไกลออกไป และพยายามต่อรองค่าเสียหาย และกลับมาเจรจาหลังจากญาติผู้เสียหายที่เป็นสมาชิกทั้ง 5 ระดับ ลดความโกรธแค้นลง หากการเจรจาต่อรองระหว่างสองเผ่าไม่เป็นผลต้องใช้ผู้อาวุโส (ชัยคฺ) จากเผ่าที่เป็นกลางมาช่วยเจรจา ซึ่งจะจบลงด้วยการจ่ายค่าทดแทนให้แก่เผ่าที่สูญเสีย


แต่ละเผ่าจะต่อสู้เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของเผ่า และแก้แค้นแก่ผู้ทำร้ายสมาชิกของเผ่า อันถือเป็นหน้าที่ผูกพันที่จะแก้แค้นแก่เผ่าที่เป็นผู้กระทำ ไม่ใช่ต่อบุคคลคู่กรณีซึ่งจะล้างแค้นด้วยความอาฆาตสืบต่อหลายชั่วอายุคน จนบางครั้งสูญสลายไปทั้งเผ่า

       พวกเบดูอินจะอ้างสิทธิในอาณาเขตที่มีทุ่งหญ้า และบ่อน้ำที่ได้ใช้อยู่เป็นประจำครอบครัวที่สืบเชื้อสายของตระกูลแต่ละเผ่าจะเป็นเจ้าของบ่อน้ำ หรือโอเอซิสที่สมาชิกของเชื้อสายปลูกต้นอินทผลัมและพืชผัก พื้นที่อาณาเขตของเผ่าอาจให้แก่เพื่อนของเผ่าและครอบครัว เผ่าต่างๆ  จึงพยายามรักษาความเป็นเพื่อนระหว่างครอบครัวหรือเผ่าให้กว้างขวางออกไป เพื่อที่จะได้มีแหล่งทรัพยากรที่ต้องการเมื่อต้องอยู่ในภาวะจำเป็น ชาวเบดูอินจะถือประโยชน์ของเผ่าเป็นสำคัญ เมื่อผลประโยชน์ของเผ่าขัดกัน จึงมีการต่อสู้ทำสงครามระหว่างเผ่าอยู่เสมอ การปล้นสะดมก็เป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีพนอกเหนือจากการเลี้ยงสัตว์

       กลอนโบราณของอาหรับกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของเราในการปล้นสะดมศัตรู หรือเพื่อนบ้าน หรือพี่น้องของเราเอง ถ้าไม่มีผู้ใดให้เราปล้นได้

       การปล้นสะดมหรือการรุกรานจะใช้เวลาหลายเดือนและกินระยะทางไกลเพื่อมิให้ผู้ถูกรุกรานตามแก้แค้นได้ง่าย ทรัพย์สินที่ยึดมาได้จะถูกแบ่งปันในระหว่างการเลี้ยงฉลองจะมีการร้องรำทำเพลง ซึ่งกลายเป็นตำนานในความกล้าหาญของผู้รุกราน การรุกรานหรือปล้นสะดม หรือสงครามระหว่าเผ่ามีกฎพื้นฐานว่าต้องมีความยุติธรรมจะทำได้หลังการประกาศสงคราม และกับผู้เท่าเทียมกันซึ่งสามารถจะต่อสู้หรือโต้ตอบได้เท่านั้น การรุกรานจะไม่ทำระหว่างเที่ยงคืนถึงพระอาทิตย์ขึ้น เนื่องจากเชื่อว่าวิญญาณของมนุษย์ได้ล่องลอยออกจากร่างกายขณะนอนหลับ   เบดูอินจะหนีเมื่อศัตรูมีจำนวนมากกว่า จะไม่ฆ่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือนักโทษ
      
       อะเศาะบียะฮฺ (‘Asbabiyah) หรือจิตวิญญาณของตระกูลซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่สำคัญของอาหรับ บ่งชี้ถึงความซื่อสัตย์อย่างไร้ขอบเขต และปราศจากเงื่อนไขต่อเพื่อนร่วมตระกูล และในความหมายกว้าง ๆ อาจจะสอดคล้องกับลัทธิรักชาติที่มีรูปแบบคลั่งไคล้และอคติ บทกาพย์ตอนหนึ่งได้รำพันไว้ว่า จงซื่อสัตย์ต่อเผ่าพันธุ์ของสูเจ้า ซึ่งเสียงเรียกร้องดังกล่าวนี้ มั่นคงพอที่จะโน้มน้าวเหล่าสามีจนทอดทิ้งภรรยาอันเป็นที่รักได้อย่างง่ายดาย ลักษณะพิเศษเฉพาะซึ่งขจัดมิได้ของตระกูล  ซึ่งเป็นบุคลิกภาพของปัจเจกสมาชิกตระกูลที่ขยายใหญ่ เชื่อว่าตระกูลหรือเผ่าพันธุ์ อย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเป็นหน่วยทางสังคมที่สมบูรณ์ในตัวเอง พึ่งพาตนเองได้ และมีลักษณะตายตัวแน่นอนและมองว่าตระกูลหรือเผ่าพันธุ์อื่น ๆ นั้น คือเหยื่อที่ชอบธรรมของตนเอง และเป็นเป้าหมายของการปล้นสะดมและการฆาตกรรมได้
           
       อิสลามในระยะแรกได้ใช้ประโยชน์จากระบบเผ่าเพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านการทหารอย่างเต็มที่ กองทัพมุสลิมได้ถูกจัดแบ่งหน่วยรบต่าง ๆ เหมือนกับการแบ่งเผ่า สามารถแก้ปัญหาให้แก่ประชาชนในดินแดนที่ถูกบุกเบิกใหม่ไปตามสภาพของแต่ละเผ่า และได้ปฏิบัติต่อผู้เข้ารับอิสลามใหม่จากเผ่าต่าง ๆ ฉันท์พี่น้อง ลักษณะที่ไม่เป็นมิตรของลัทธิความคลั่งไคล้ในตัวเองนี้ ไม่เคยที่จะถูกครอบงำได้ โดยบุคลิกภาพอาหรับแบบใหม่ที่ได้เริ่มพัฒนาและเปิดโฉมหน้าขึ้นหลังจากการกำเนิดของอิสลาม และความคลั่งไคล้ดังกล่าวจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งยวดที่นำไปสู่การขาดเสถียรภาพและการล่มสลายในบั้นปลายของรัฐอิสลามในยุคต่างๆ

      ในขณะเดียวกันชาวอาหรับก็มีคุณลักษณะที่ตรงข้ามกับที่กล่าวมาข้างต้น คือ มีความมีมรรยาท มีไมตรี ความอ่อนโยน และใจกว้างเมื่อเป็นเจ้าภาพผู้ถูกรับเชิญจะถูกคาดหมายว่าจะรับคำเชิญและรับของขวัญ การต้อนรับแขกด้วยอัธยาศัยไมตรีเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ต้องแสดงความใจกว้าง ทั้งที่อาจจะต้องฆ่าอูฐตัวสุดท้าย เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงแขก ถ้าคนแปลกหน้าหรือแม้แต่ศัตรูตอบรับเชิญมางานกินเลี้ยง   ชาวเบดูอินจะถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องปกป้องชีวิตของผู้มาเยือนไว้ด้วยชีวิตของตัวเอง [1]
                
      ภาพชีวิตท้องถิ่นของชาวอาหรับที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดในบทนี้  ถือเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นอาหรับที่ในเวลาต่อมามีการพัฒนาการและการรวมหมู่เข้าสู่ศูนย์กลางของอำนาจและจิตใจในนามของอิสลาม  เป็นศาสนาอิสลามอันกลายเป็นภาพลักษณ์และศูนย์รวมความเป็นประชาชาติ และขับเคลื่อนไปในห้วงประวัติศาสตร์ของชนชาติที่น่าสนใจที่สุดครั้งหนึ่งของโลก
________________________________________
[1]  อนันตชัย จินดาวัฒน์. แผ่นดินอาหรับ ประวัติศาสตร์และความเปลี่ยนแปลง. 2554. กรุงเทพฯ: ยิปซี. 
อ้างจาก : มูหัมมัดมันซูร หมัดเร๊าะ. อิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับต่อสังคมมลายูในจังหวัดปัตตานี. วิทยานิพนธ์อิสลามศึกษามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, หน้า 75-81.


ภาพจาก
http://en.wikipedia.org/wiki/File:Bedouin_family-Wahiba_Sands.jpg

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น