ความรู้สึกชาตินิยมในเผ่าพันธุ์และเชื้อชาติรุนแรงมาก เนื่องจากสภาพความอวิชชาของชาวอาหรับ ดั่งสุภาษิตอาหรับโบราณว่า
انصر أخاك ظالمًا أو مظلومًا
“จงช่วยเหลือพี่น้องของท่านไว้ก่อน
ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้กดขี่หรือผู้ถูกกดขี่ก็ตาม”
นั่นคือพวกเขาจะช่วยเหลือเข้าข้างกันโดยไม่คำนึงว่าพวกตนจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิดนั่นเอง
ในสังคมชาวอาหรับประกอบด้วยหลายชนชั้น หลายตระกูล ซึ่งล้วนแล้วแต่เห็นว่า
พวกตนประเสริฐเลิศเลอกว่า
พวกเขาต่างหยิ่งในเกียรติและจะไม่เข้าร่วมกิจกรรมใดๆ กับบุคคลต่างเผ่ามากนัก แม้กระทั้งในช่วงพิธีกรรมฮัจญ์ เช่นจะไม่พำนักอยู่ที่ทุ่งอะรอฟะฮฺพร้อมกับบุคคลทั่วไป
แต่จะทำพิธีเวียนวิหารกะบะฮฺตั้งสุดท้ายและเสร็จพิธีก่อนพวกอื่น
และการฝ่าฝืนเดือนต้องห้าม เป็นต้น
อำนาจและตำแหน่งสูงศักดิ์หรือต่ำศักดิ์ก็เป็นเรื่องผูกขาดของตระกูลที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษในสังคมจึงประกอบด้วยชั้นสามัญและคนทั่วไป ความเลื่อมล้ำชนชั้นนี้ได้หยั่งรากลึกในสังคมอาหรับจนเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน
นิสัยชอบการทำศึกสงครามก็นับเป็นสันดานที่มีมาแต่เดิมของชาวอาหรับ ทั้งนี้เนื่องจากสภาพชีวิตแบบแร่ร่อน ทำให้การต่อสู้เป็นดั่งสิ่งปลอบประโลมใจ หรือความบันเทิงของพวกเขา เช่นกล่าวเป็นลำนำทำนองว่า
وَأَحْيَانًا عَلَى بَكْرِ أَخِيْنَا إِذَا مَالَمْ يَجِدْ إِلَّا أَخَانَا
“แม้นเผ่าบักร์พรรคพวกกูก็สู้รบ
เมื่อไม่พบเผ่าอื่นมาท้าประลอง”
เมื่อสงครามหลั่งเลือดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย
เพียงสาเหตุที่ไร้สาระเช่นการสู้รบระหว่างเผ่าบักร์และตัฆลับ ซึ่งเป็นสองพี่น้องบุตรของวาอิล ที่ดำเนินต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานถึง 400 ปี
ทำให้สูญเสียเลือดเนื้อไปมากมาย สาเหตุของสงครามเกิดขึ้นเพียงเพราะกุลัยบ์
(หัวหน้าเผ่าของมะอัด) ขว้างเต้านมของอัลบุสูซ บุตรีของมุนกิซ จนเลือดไหลผสมกับน้ำนมของมัน ทำให้ญัซซาซ
บุตรมุรเราะห์ฆ่ากุลัยบ์เสียชีวิต
กระทั่งลุกลามขึ้นเป็นสงครามใหญ่โตระหว่างเผ่าบักร์และตัฆลับ
การนองเลือดที่โหดเหี้ยมนี้ได้รับการบันทึกโดยอัล-มุฮัลฮัล พี่ชายของกุลัยบ์ว่า “ชีวิตทั้งหลายต้องพินาศย่อยยับ
แม้ต้องพลัดพรากลูกรัก ลูกๆ ต้องกลายเป็นกำพร้า น้ำตาไม่เคยเหือดแห้ง
และซากศพแทบไม่มีแผ่นดินกลบฝัง”
ทำนองเดียวกันกับสงครามระหว่างดาหิซ
และอัล-ฆ็อบรออ์ ซึ่งเกิดจากสาเหตุเพียงเล็กน้อย คือครั้งหนึ่ง
ก็อยซ์บินซุฮัยร์ได้เดิมพันแข่งม้ากับหุซัยฟะฮ์บุตรของบัดร์ ม้าของก็อยซ์ชื่อดาหิซ
และม้าของหุซัยฟะฮ์ชื่ออัล-ฆ็อบรออ์โดยในช่วงแรกดาหิซนำหน้าอัล-ฆ็อบรออ์
แต่หุซัยฟะฮ์เล่นไม่ซื่อด้วยการวานให้อะซะดีย์ซึ่งเป็นสหายของเขาไปทำร้ายดาหิซให้บาดเจ็บ
สุดท้ายดาหิซเป็นฝ่ายแพ้ ความทราบถึงก็อยซ์ จึงมีเรื่องชกต่อยกัน และลุกลามกลายเป็นการฆ่าและการล้างแค้นตามมา
เผ่าต่างๆ ก้เข้าช่วยเหลือสมาชิกในเผ่าพันธุ์ของตน มีการจับผู้คนเป็นเชลย และการอพยพละทิ้งถิ่นฐาน
ทำให้ประชาชนจำนวนหลายพันคนต้องล้มตายเกลื่อนกลาด
ชีวิตคนเหล่านั้นเป็นเหมือนตาข่ายที่ถักทอจากมรดกแห่งความอาฆาตพยาบาทที่ถ่ายทอดมาจากพ่อสู่ลูก
ประกอบกับด้วยสภาพการณ์ใช้ชีวิตแบบเบดุอินที่ไร้สิ่งอำนวยความสะดวก ความโลภ
ความป่าเถื่อน ความพยาบาท
และไม่เห็นคุณค่าของชีวิตผู้คน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยให้เกิดการลอบทำร้ายและการปล้นสะดมระหว่างเผ่าพันธุ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แผ่นดินคาบสมุทรอาหรับดูราวเป็นทุ่งสังหารที่ผู้คนทั้งหลายไม่อาจทราบได้ว่าตนอาจโดนลอบฆ่าหรือทำร้ายเมื่อไหร่
บางคนถูกลักพาตัวต่อหน้าต่อตาครอบครัวและพวกพ้องของตนเอง
แม้กระทั่งชาติมหาอำนาจในขณะนั้นต้องอาศัยยามรักษาการณ์และกองกำลังที่เข้มแข็ง ดังเช่นกองคาราวานของคอสโรแห่งเปอร์เซีย เมื่อผ่านเมืองต่างๆ
ของชาวอาหรับยังต้องมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา
โดยว่าจ้างกองกำลังคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยว่าจ้างกองกำลังคุ้มกันจากเมืองต่างๆ
จนกระทั่งถึงปลายทาง เช่นว่าจ้างอัล-นุอ์มาน บินอัล-มุนซิรให้คุ้มกองคาราวานผ่านเมืองอัล-หัยเราะห์
เพื่อป้องกันภัยจากเผ่าบนีรอบีอะฮ์ เมื่อถึงเมืองยะมามะฮ์ก็ว่าจ้าง ฮูซะฮ์ บินอลี
อัล-หะนาฟีย์ต่อไปกระทั่งกองคาราวานเดินทางพ้นจากอาณาเขตของเผ่าบนีหะนีฟะฮ์
หลังจากนั้นยังว่าจ้างคนของเผ่าตะมีมเพื่อคุ้มกันกองคาราวานไปจนถึงเยเมน
กระทั่งสามารถส่งมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กับคณะผู้สำเร็จราชการของคอสโรที่อยู่ ณ
เมืองเยเมน [1]
________________________________________
[1] อบุลหะซัน อาลี อัล-นัดวีย์. Islam and the world โลกสูญเสียอะไรจากความตกต่ำของประชาชาติมุสลิม. 2554. กรุงเทพฯ: โครงการส่งเสริมการวิจัยและเขียนตำรามหาวิทยาลัยอิสลามยะลา.
ภาพจาก
http://www.yasmin-alsham.com/vb/attachment.php?attachmentid=631&stc=1&d=1238574589
ภาพจาก
http://www.yasmin-alsham.com/vb/attachment.php?attachmentid=631&stc=1&d=1238574589
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น